สถานะความเป็นผู้ป่วยไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้เกิดกำลังใจหรือส่งเสริมให้คนพิการเกิดความกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมที่มีคุณค่า น่าภูมิใจ แต่ในทางตรงข้ามจะแสดงถึงความเป็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา มีนัยยะของความด้อยความสามารถแฝงอยู่เสมอ” บางประโยคที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ
“ไอแอล การดำรงชีวิตอิสระของคนพิการ Independent Living of Persons with Disabilities” ซึ่งเรียบเรียงโดย กมลพรรณ พันพึ่ง สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งของ “ความพิการ” ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการสูญเสียสมรรถภาพทางร่างกายเฉพาะบุคคล แต่ยังเป็นเรื่องการให้ความหมายทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลถึงการริดรอนสถานภาพออกจากบุคคลที่ถูกตีตราว่า “คนพิการ”
“หลังจากที่ผมพิการผมไม่อยากออกมาข้างนอกบ้าน เวลาออกมาแล้วเพื่อนบ้านเขามอง เหมือนกับเราเป็นตัวประหลาด มันทำให้ผมไม่อยากออกมานั่งแม้กระทั่งหน้าบ้าน มันทำให้เรารู้สึกว่าทำไมต้องมองเราแบบนั้น เราก็เป็นคนเหมือนกันเพียงแค่เราเดินไม่ได้เพราะประสบอุบัติเหตุ คนพิการก็เป็นคนนะ” อนันตชัย ศรีสุข ในวัย 47 ปีบอกเล่าถึงความรู้สึกการถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ผ่านการจ้องมองของผู้คนร่วมสังคม จนทำให้เขาต้องกักตัวเองไว้แต่ภายในบริเวณบ้านนานถึง 18 ปี และพยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้ง ไม่แตกต่างจากประสบการณ์ของ นพดล ภู่บ้านใหม่ ชายหนุ่มวัย 31 ที่อุบัติเหตุจากการทำงานเมื่อ 13 ปีที่แล้วทำให้เขาต้องพิการและรู้สึกท้อแท้จนต้องหลั่งน้ำตา “ตอนพิการแรกๆ ผมก็อยู่แต่ในบ้าน นอนท้อแท้ชีวิต นอนร้องไห้ทุกคืนๆ ไม่กล้าออกไปข้างนอก พอแม่จะพาออกมาอาบน้ำผมไม่ค่อยอยากออก เพราะว่าพอคนในหมู่บ้านเดินผ่านก็จะมองแบบเหลียวหลังเลย เราก็รู้สึกเหมือนว่าเราเป็นตัวประหลาด เวลาไปหาหมอบางทีเราก็ไม่อยากจะไป”
แต่ใช่ว่าคนเราจะโชคร้ายตลาดไป อนันตชัย ศรีสุข สะท้อนข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการจ้างงานกับการได้คืนสถานภาพการเป็นหัวหน้าครอบครัวว่า “หลังจากได้รับการจ้างงานผมปลื้มใจมาก ขอบคุณบริษัท เมื่อก่อนผมไม่มีเงินผมต้องแบมือขอพี่น้องแต่ตอนนี้ผมไม่เคยขอเขาเลย ผมได้กลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง” สอดคล้องกับ นพดล ภู่บ้านใหม่ ที่ระบุว่า “หลังจากที่ได้รับการจ้างงานผมก็มีความภูมิใจ เพราะจากที่ผมเคยคิดว่าผมไร้ค่า หมดความหมาย ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยังไงแล้ว ไม่สามารถมีเงินมีค่าใช้จ่ายอุดหนุนให้แม่ เพราะแม่จะดูแลค่าใช้จ่ายให้กับผมและลูก แถมมีน้าที่พิการทางสมองอีกคนหนึ่ง พอมามีงานมีเงินเดือนผมก็ส่งให้แม่ แล้วก็ให้ลูก จากที่เคยเป็นภาระของแม่ ตอนนี้ก็อาจจะลดภาระของแม่ลงไปบ้างไม่มากก็น้อย ผมให้เงินแม่ทุกเดือน ให้เงินลูกสาวไปกินที่โรงเรียนทุกวัน เพื่อที่ว่าลูกสาวผมจะได้ไม่ต้องไปเอาจากแม่แล้ว”
หลังจากที่กลุ่มคนพิการ 8 คนที่ได้รับการจ้างงานตามโครงการจ้างเหมาบริการการพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการในชุมชน จากบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นในการดำเนินงานเสริมพลังให้กับคนพิการตามแนวทางการดำรงชีวิตอิสระเพื่อเรียกคืนความมั่นใจในสถานภาพความเป็นมนุษย์ให้กับคนพิการแล้ว ในอีกมุมหนึ่งข้อมูลดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่าการจ้างงานคนพิการเป็นอะไรที่มากกว่าการจ่ายเงินให้กับปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง เพราะอาชีพที่ได้มอบให้กับคนพิการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการส่งคืนสถานภาพทางสังคมให้กับมนุษย์ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้กลับมามีตัวตนทั้งในครอบครัวและสังคมอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันสำหรับกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับคนพิการ ข้อมูลจากการติดตามการดำเนินงานของกลุ่มคนพิการที่ได้รับการจ้างงานจากบริษัทเอกชนเป็นปีแรกก็คือ ‘เรา’ ทุกคนควร “เปิดโอกาสให้คนพิการล้มเหลวได้ ตัดสินใจเลือกที่จะ “เสี่ยง” ว่าจะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สังคมอาจจะให้ความหมายว่าดีหรือไม่ดีก็ได้” เพราะนั่นถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานที่มองเห็นมนุษย์ในฐานะมนุษย์ที่มีสิทธิเลือกและมีสิทธิที่จะล้มเหลวเหมือนกันทุกๆคน … ปิดหู หลับตา แต่ขอให้เปิดใจ